ถ้าพูดถึง
โปรเจคเตอร์ (Projector) อาจเป็นอุปกรณ์ที่ไกลตัวของหลาย ๆ คน แต่สำหรับอีกหลาย ๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการ ธุรกิจ วงการการศึกษา หรือ ผู้ทำงานในสายงานที่ต้องถ่ายทอดภาพและเสียงให้คนจำนวนมากเข้าใจแล้วล่ะก็ โปรเจคเตอร์ คือตัวช่วยที่สำคัญมาก ๆ และแทบจะเรียกว่าขาดไม่ได้เลยทีเดียว
โปรเจคเตอร์ คือ อุปกรณ์ที่ช่วยในการแสดงภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถฉายบนผ้าใบหรือกำแพง เหมาะสำหรับการนำมาใช้นำเสนองานหรือที่เรียกว่า Presentation ของหน่วยงานองค์กรราชการและบริษัทเอกชน สามารถนำมาต่อกับอุปกรณ์ได้หลายประเภท เช่น เครื่องเล่นดีวีดีหรือบลูเรย์ดิสค์ คอมพิวเตอร์ รวมทั้งสมาร์ทโฟนเป็นต้น
ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้อุปกรณ์ชนิดนี้มีน้ำหนักเบาขึ้นและรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ รวมถึงให้คุณภาพของภาพที่คมชัดเจนมากยิ่งขึ้น สวนทางกับราคาที่ลดลงจากเมื่อก่อนมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรพิจารณาให้ดีก่อนซื้อ เพื่อการใช้งานที่คุ้มค่า โดยเราได้สรุปมาดังนี้
โปรเจคเตอร์จำแนกออกเป็นประเภทดังนี้
1. ประเภท Conference
น้ำหนัก 20 ปอนด์ ขึ้นไป เหมาะแก่การติดตั้งแบบถาวร กึ่งถาวร หรือมีการเคลื่อนย้ายน้อยครั้ง ตัวเครื่องนั้นมีความสามารถที่ดี แต่ก็ต้องแลกกับน้ำหนักที่เยอะกับราคาที่สูง
2. ประเภท Portable
น้ำหนัก 10-20 ปอนด์ เหมาะสำหรับห้องประชุมหรือห้องสัมมนาทั่วไป หรือห้องที่มีขนาดใหญ่ปานกลาง มีข้อดีคือเคลื่อนย้ายค่อนข้างง่าย เชื่อมต่อใช้เวลาไม่นาน หลาย ๆ อย่างแม้จะสู้กับแบบแรกไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับด้อยประสิทธิภาพ
3. ชนิด Ultra Portable
น้ำหนัก 4-10 ปอนด์ เหมาะสำหรับนักเดินทาง หรือการพกพาไปยังต่าง ๆ ใช้ในพื้นที่จำกัด แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่มีน้ำหนักเบาและขนาดเล็กเกินไปอาจทำให้คุณภาพของเครื่องบางรุ่นด้อยลงไปด้วย เช่น ค่าความคมชัด, ค่าความสว่าง รวมทั้งเครื่องยิ่งมีขนาดเล็กและมีคุณสมบัติที่ดีนั่นก็หมายความถึงราคาที่แพงขึ้น ด้วย
เมื่อรู้ถึงประเภทต่าง ๆ แล้ว เรามาดูถึงขั้นตอนก่อนการเลือกซื้อกันดีกว่า
1. กำหนดความต้องการ
ควรดูว่าสถานที่ ๆ เราจะติดตั้งหรือใช้เครื่องเป็นแบบใด เช่นถ้าต้องติดตั้งในห้องมีขนาดใหญ่จำนวน 50 ที่นั่งขึ้นก็ควรเลือกใช้แบบ Conference แต่ถ้าคุณเป็นนักบรรยายนอกสถานที่ ๆ ต้องเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ตลอด โดยมีผู้ฟังหลัก 10 ถึง 20 คนก็ควรเลือกใช้แบบ Ultra Portable
2. ความสว่าง
ถือเป็นปัจจัยต้น ๆ ในการเลือกซื้อ หน่วยของความสว่างจะเรียก่า Ansi Lument เช่น 2,600, 2,800 3,000 หรือ 4,000 Ansi Lument ยิ่งค่าสูง ยิ่งให้ความสว่างมากและภาพก็คมชัดมากขึ้น แม้เปิดในที่ที่แสงไฟสว่างมาก ๆ (ส่วนใหญ่มักเรียก Ansi Lument สั้นๆ ว่า Lument หรือตัวย่อคือ LM)
3. ความละเอียด หรือ Resolution
ความละเอียดเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งจะมีผลอย่างมากโดยเฉพาะตอนเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ หรือ สมาร์ทโฟน เพราะหน้าจออุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ จะมีความละเอียดค่อนข้างสูง ดังนั้น ถ้า Projector มีความละเอียดต่ำกว่า จะไม่สามารถแสดงผลได้สวยงามและสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อให้ดี โดยระดับความละเอียดของ Projector มีดังนี้
SVGA = 800 x 600 (ความละเอียดต่ำ)
XGA = 1024 x 768?พิกเซล (ความละเอียดระดับพื้นฐาน)
WXGA = 1280 x 720?พิกเซล (ความละเอียดค่อนข้างสูง)
UXGA = 1600 x 1200 พิกเซล (ความละเอียดสูง)
4. ระยะฉาย
ระยะฉายคือ ระยะห่างระหว่างเครื่องกับผนังหรือจอสกรีนผ้าใบ โดยในแต่ละรุ่นจะมีระยะฉายไม่เท่ากัน หากต้องการฉายจอเล็ก ๆ ในพื้นที่แคบ ก็เลือกที่มีระยะฉายตั้งแต่ 0.1-6.0 เมตร แปลว่าสามารถฉายให้ห่างจากผนังได้ตั้งแต่ระยะ 10 เซนติเมตร แต่ถ้าเลื่อนตัวเครื่องให้เข้าใกล้กำแพงมากไปกว่า 10 เซนติเมตร ภาพจะเริ่มเบลอ เช่นเดียวกันกับค่าสูงสุดของระยะฉาย หากนำเลื่อนออกจากกำแพงเกินกว่า 6 เมตร ภาพก็จะเบลอเช่นเดียวกัน
นี่คือเรื่องราวของโปรเจคเตอร์ที่เราสรุปมาให้ท่านที่สนใจและต้องการซื้อมาใช้งานได้ทราบกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ